วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

การ์ดอวยพรวันปีใหม่




content.php.gif



ขอลาที ปีเก่า แสนเศร้าโศก 
ความอับโชค ที่มา กับราศี
อีกโพยภัย ไข้ทำ ประจำมี
ในชีวี จงสลาย มลายพลัน


สวัสดี ปีใหม่ ขอให้สุข
หมดสิ้นทุกข์ กายจิต มิผิดผัน
อายุมั่น ขวัญยืน สี่หมื่นวัน
มีผิวพรรณ ผ่องนวล เย้ายวนชม


ปรารถนา เงินทอง กองท่วมฟ้า
ทำการค้า ร่ำรวย ไปสวยสม
มียศศักดิ์ รักใคร ใคร่ภิรมย์
ขอให้กลม เกลียวกัน และมั่นคง


ถ้าผู้ใด ใจว่าง เรื่องทางรัก
ให้พบพักตร์ กันที อย่ามีหลง
หากอกหัก หนักไป ครวญใคร่ปลง
ขอท่านจง โชคดี ทั้งปีเทอญ






ใกล้สิ้นสุดวาระแห่งปีเก่า
ขอให้เรื่องเศร้า ๆ เคยร้าวฉาน
จงสิ้นสุดลงไปกับวันวาน
ขอให้มีแต่ความหวานปีใหม่เอย
ขอให้มั่งให้มีด้วยเงินทอง
ที่ลูกหนี้เคยทำหมองและเมินเฉย
ก็ให้เก็บตังค์ได้ครบทุกบาทเลย
ขอให้รักลงเอยลงด้วยดี
สำหรับคนที่ยังตกงานอยู่
ขอให้พบคนอุ้มชูในปีนี้
ให้ทุกท่านได้งานทำดี ดี
คนที่มีงานทำอยู่จงชื่นใจ
เพราะว่าเจ้านายดูใจดีไปหมด
ไม่เคยลดแถมเพิ่มโบนัสให้
ขอให้ทุก ๆ ท่านมีความสุขท่วมท้นใจ
สิ่งร้าย ๆ จงทิ้งไปใน..ปีเก่าเอย





















































my i dol ของฉัน

cheer (1)_OkYSNthFri114932.jpg  





ฑิฆัมพร ฤทธิ์ธาอภินันท์ หรือ เชียร์ เกิดเมื่อวันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2530 ตรงกับวันแม่แห่งชาติ เชียร์มีพี่น้องทั้งหมด 3 คน โดยเชียร์เป็นลูกผู้หญิงคนเดียว และเป็นลูกคนกลาง การศึกษา เชียร์เริ่มเรียน ระดับอนุบาลที่โรงเรียนอนุบาลสายทอง ระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดประยูรวงศาวาส และระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนศึกษานารี ปัจจุบัน สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จาก คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ "เชียร์" นับว่าเป็นนักแสดงหญิงรุ่นใหม่ที่ตัวสูงคนหนึ่ง เพราะเธอมีความสูงถึง 171 เซนติเมตร เวทีประกวด มิสทีนไทยแลนด์ปี 2002 เป็นจุดเริ่มต้นให้เชียร์ก้าวเข้ามาในวงการบันเทิงของไทยได้อย่างเต็มตัว หลังจากนั้นก็มีผลงานออกมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะละคร ซึ่งแสดงกับทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7
ด้วยลักษณะนิสัย บุคลิก ความเป็นตัวของตัวเอง ความประพฤติที่ดีอย่างสม่ำเสมอ บวกกับความสามารถในด้านต่างๆ ของเชียร์ ทำให้เชียร์เป็นนักแสดงคนหนึ่งที่ถือได้ว่า มีคนให้ความสนใจ สนับสนุน และคอยเป็นกำลังใจให้ตลอดมา และมีแฟนคลับเป็นจำนวนมากมายอย่างต่อเนื่อง[

สาเหตุที่ชอบเพราะเป็นคนเก่งมีความสามารถในด้านต่างๆ    สวยและเก่ง  มีความกตัญญู   และยังสามารถหาเลี้ยงครอบครัวได้


























วันรัฐธรรมนูญ

วันรัฐธรรมนูญ วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทย

ความเป็นมา

การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์การปกครองของชาติไทย เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ

สาเหตุที่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
๑. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ แห่งราชวงศ์จักรีทรงมีพระราชประสงค์ที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทย

๒. หลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ผลอันนี้ได้กระทบมาถึงไทยด้วย พระองค์ได้แก้ไขเศรษฐกิจโดยปลดข้าราชการออก ยังความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการ

๓. อิทธิพลจากตะวันตกเกี่ยวกับอุดมการทางการเมือง ทำให้กลุ่มคนหนุ่มต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน

๔. รัฐบาลได้ออกกฏหมายเก็บภาษี อาทิ ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน จากราษฎร

จากสาเหตุดังกล่าวข้างต้น ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการทหาร และราษฎรทั่วไปจึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยการปฏิวัติ มีคณะผู้รักษาการพระนครฝ่ายทหาร ซึ่งประกอบด้วยพันเอก พระยาพหลพยุหเสนา พันเอกพระยาทรงสุรเดช และพันเอกพระฤทธิอาคเนย์ เป็นผู้บริหารประเทศ

วันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวเรียกว่า "พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว" สาระสำคัญของธรรมนูญการปกครองฉบับนี้ได้แก่ การที่กำหนดว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศหรืออำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรทั้งหลาย การใช้อำนาจสูงสุดก็ให้มีบุคคลคณะบุคคลเป็นผู้ใช้อำนาจแทนราษฎรดังนี้ คือ
๑. พระมหากษัตริย์

๒. สภาผู้แทนราษฎร

๓. คณะกรรมการราษฎร

๔. ศาล

ลักษณะการปกครองแม้จะเปลี่ยนระบอบการปกครองมาเป็นประชาธิปไตยแต่ก็ถือว่าพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ เป็นสถาบันที่ถาวรและมีการสืบราชสมบัติต่อไปในพระราชวงศ์ การปฏิบัติราชการต่างๆ จะต้องมีกรรมการราษฎรผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ โดยได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการราษฎรจึงจะใช้ได้ สถาบันที่เกิดใหม่คือ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีอำนาจทางนิติบัญญัติออกกฎหมายต่างๆ ซึ่งเมื่อพระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้แล้วจึงมีผลบังคับได้ เหตุนี้ในระยะแรกของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สภาผู้แทนจึงเป็นสถาบันที่มีอำนาจสูงสุดในทางการเมือง ส่วนการใช้อำนาจตุลาการยังคงให้ศาลยุติธรรมที่มีอยู่แล้วพิจารณาพิพากษาคดีให้เป็นไปตามกฎหมายได้ตามเดิม

กระทั่งถึง วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร ซึ่งมีหลักการต่างกับฉบับแรกในวาระสำคัญหลายประการ อาทิได้เปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นการปกครองแบบรัฐสภา ทั้งนี้เนื่องจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๔๗๕ ได้บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นประมุขไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมืองเป็นผู้ใช้อำนาจทางคณะรัฐมนตรี ซึ่งพระมหากษัตริย์ ทรงแต่งตั้งให้บริหารราชการแผ่นดิน แต่คณะรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดินต่อสภาผู้แทน รัฐสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติมิได้ใช้แต่เพียงอำนาจนิติบัญญัติเท่านั้น แต่มีอำนาจที่จะควบคุมคณะรัฐมนตรีในการบริหารแผ่นดินด้วย แต่อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรีรวมทั้งพระมหากษัตริย์ซึ่งประกอบกันเป็นรัฐบาลก็มีอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนได้ หากเห็นว่าได้ดำเนินการไปในทางที่จะเป็นภัยหรือเสื่อมเสียผลประโยชน์สำคัญของรัฐที่มีผลเท่ากับถอดถอนสมาชิกสภาที่ได้รับเลือกตั้งมาเพื่อให้ราษฎรเลือกตั้งใหม่ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์นั้นได้บัญญัติว่าพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ้

รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เป็นเครื่องกำหนดระเบียบแบบแผนของสังคม เพื่อเป็นการระลึกถึงรัฐธรรมนูญฉบับแรก อันเป็นฉบับถาวร และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานให้กับปวงชนชาวไทย ทางราชการจึงกำหนด วันที่ ๑๐ ธันวาคมของทุกปี เป็นวันรัฐธรรมนูญ